ออกแบบออฟฟิศยุคใหม่อย่างไรให้กระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ สะท้อนวัฒนธรรมองค์กร

ไม่ว่าองค์กรของคุณจะมีออฟฟิศขนาดเล็กหรือออฟฟิศขนาดใหญ่ การออกแบบหรือตกแต่งออฟฟิศให้เหมาะสม กระตุ้นความคิดสร้างสรรค์และสะท้อนวัฒนธรรมองค์กรไปพร้อม ๆ กัน ย่อมส่งผลให้เกิดประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงาน อีกทั้งยังเป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้แก่องค์กร แล้วเราควรออกแบบออฟฟิศอย่างไรให้สอดคล้องกับวัฒนธรรมองค์กรล่ะ บทความนี้มีคำตอบ 

สำนักงานหรือออฟฟิศที่เหล่าพนักงานใช้ในการทำงานนั้น ไม่เพียงแค่จัดไว้สำหรับนั่งทำงานเท่านั้น แต่ยังสามารถสะท้อนวัฒนธรรมองค์กรหรือแนวคิดหลักขององค์กรได้ด้วย ซึ่งออฟฟิศที่ดีนั้นต้องสามารถทำให้พนักงานนั่งทำงานได้อย่างมีความสุข ผลงานเกิดประสิทธิภาพ ควบคู่ไปกับการสะท้อนวัฒนธรรมขององค์กร เพื่อกระตุ้นทักษะการทำงานร่วมกันของเหล่าพนักงาน ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าความสำเร็จขององค์กรเริ่มต้นจากการมีออฟฟิศที่ตอบโจทย์การทำงานและสอดคล้องกับวัฒนธรรมองค์กร ในบทความนี้เราจะมาเจาะลึกว่าการออกแบบออฟฟิศยุคใหม่ที่กระตุ้นความคิดสร้างสรรค์และสะท้อนวัฒนธรรมองค์กรนั้นทำได้อย่างไร ขอบอกเลยว่าไม่ยากอย่างที่คิด เราไปติดตามกันเลยดีกว่า  

พื้นที่ที่เล่าเรื่องราวองค์กร 

หากพูดถึงองค์ประกอบที่สำคัญในการออกแบบออฟฟิศยุคใหม่ สี หรือ โลโก้ นั้นถือว่าสำคัญเป็นอันดับต้น ๆ เพราะหากองค์กรมีการเลือกสีหรือโลโก้ที่เหมาะกับวัฒนธรรมองค์กร ย่อมทำให้บรรยากาศในการทำงานและสภาพแวดล้อมน่าอยู่ ที่สำคัญคือสีหรือโลโก้ที่ดี สามารถสะท้อนตัวตนและวัฒนธรรมขององค์กรได้ เราสามารถบอกเล่าเรื่องราวขององค์กรด้วยการใช้สีหรือโลโก้ที่บอกความหมายขององค์กรหรือการใช้องค์ประกอบที่สะท้อนตัวตนของบริษัท ตัวอย่างเช่น หากเป็นองค์กรที่มีวัฒนธรรมการทำงานแบบอิสระ เปิดกว้างและมีความยืดหยุ่น อาจเลือกตกแต่งออฟฟิศด้วยสีโทนอ่อนเช่น สีขาว สีครีมหรือสีเบจ เพราะให้ความรู้สึกสบาย และมีความหมายเชิงบวก หรือหากเป็นองค์กรที่มีวัฒนธรรมแบบคนรุ่นใหม่ เน้นการทำงานอย่างสนุกสนาน อาจมีการตกแต่งด้วยสีหรือโลโก้ที่มีความสดใส สร้างบรรยากาศที่ตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา เป็นต้น 

ตัวอย่างองค์กรแบรนด์ดังที่มีการตกแต่งออฟฟิศสะท้อนภาพลักษณ์หรือวัฒนธรรมองค์กร เช่น Amazon ปรับเปลี่ยนบรรยากาศในการทำงานให้น่าอยู่ไปพร้อมกับการแสดงอัตลักษณ์ของบริษัทด้วยการสร้างป่าจำลองภายในออฟฟิศ ทำให้บรรยากาศการทำงานร่มรื่น เกิดการพักผ่อน และสะท้อนตัวตนของบริษัทที่มีความหมายถึงธรรมชาติหรือผืนป่าที่อุดมสมบูรณ์ หรือจะบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Facebook ที่มีการตกแต่งออฟฟิศให้ทันสมัยและน่าอยู่ด้วยลวดลายสีสันสดใส สะท้อนภาพลักษณ์ขององค์กรอย่างความสนุกสนานและความทันสมัย เป็นการสร้างบรรยากาศที่ไม่น่าเบื่อ พนักงานก็สามารถนั่งทำงานไปพร้อม ๆ กับการชมภาพสวย ๆ ไปด้วยนั่นเอง 

Open vs Private Space ออกแบบอย่างไรให้เหมาะกับทีม

การออกแบบออฟฟิศยุคใหม่ในปัจจุบันนั้นมีอยู่ด้วยกัน 2 แบบคือ แบบ Open และ Private Space ทั้งสองแบบมีความแตกต่างกันที่รูปแบบการทำงานโดยแบบ Open จะมีอิสระในการทำงาน สามารถเลือกสถานที่ทำงานร่วมกันได้ ส่วนแบบ Private Space นั้นจะเน้นการทำงานในพื้นที่ส่วนตัวเป็นหลัก หากภายในองค์กรมีการจัดสรรพื้นที่ทั้งแบบ Open สำหรับการทำงานร่วมกัน และ Private Space สำหรับโฟกัสงาน ย่อมทำให้พนักงานเลือกสถานที่ทำงานได้ตามต้องการ พนักงานเกิดความพึงพอใจ สร้างบรรยากาศที่ดีในองค์กร นอกจากนี้ยังเพิ่มความสุขในการทำงานให้พนักงานได้อีกด้วย

สำหรับรูปแบบการทำงานทั้งสองแบบนั้นอาศัยแนวคิด Hybrid Office ที่ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นในการทำงาน เป็นการเปิดกว้างและให้อิสระแก่พนักงาน ให้พนักงานจัดการสถานที่ทำงานได้ตามต้องการ แนวคิดนี้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานและสามารถเพิ่มอัตราการเติบโตของบริษัทได้ เพราะการจัดสรรเวลาและสถานที่ทำงานได้เอง สามารถสร้างความสบายใจหรือลดช่องว่างระหว่างองค์กรกับพนักงาน ซึ่งเมื่อพนักงานทำงานด้วยความสุขและเกิดความเชื่อมั่นในองค์กร ผลงานที่ได้ย่อมตรงตามเป้าหมายและเกิดประสิทธิผลมากกว่านั่นเอง  

สร้างแรงบันดาลใจด้วยพื้นที่สร้างสรรค์

อีกหนึ่งการตกแต่งออฟฟิศที่ช่วยกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์และสะท้อนวัฒนธรรมองค์กรก็คือ การสร้างแรงบันดาลใจด้วยพื้นที่สร้างสรรค์ ซึ่งสามารถทำได้โดยการเพิ่มมุมรีแลกซ์ ตัวอย่างเช่น 

• โซนเกม ให้พนักงานได้พักผ่อนไปพร้อม ๆ กับการฝึกสมองให้แข็งแรง
• โซนห้องสมุด ที่สร้างความสุขให้พนักงานที่รักการอ่านหนังสือ ทำให้พนักงานได้พักผ่อนและผ่อนคลายจากความเหนื่อยล้าจากการทำงานหนักมาเป็นเวลานาน 
• โซนพื้นที่สีเขียว เช่น การสร้างสวนหย่อม หรือป่าจำลองขึ้นในออฟฟิศ เปลี่ยนบรรยากาศที่น่าเบื่อให้ผ่อนคลายและรีแลกซ์มากขึ้น แถมยังช่วยสร้างสภาพแวดล้อมที่น่าอยู่ เพิ่มอากาศบริสุทธิ์ภายในออฟฟิศด้วย 

นอกจากการสร้างโซนผ่อนคลายต่าง ๆ แล้ว เรายังสามารถตกแต่งออฟฟิศด้วยการนำศิลปะมากระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ของพนักงานได้ด้วย ตัวอย่างเช่น การตกแต่งผนังห้องด้วยศิลปะการวาดภาพระบายสีด้วยลวดลายแปลกใหม่ เพิ่มความสดใสให้ออฟฟิศไปพร้อม ๆ กับการสร้างพื้นที่สร้างสรรค์ให้พนักงานเกิดการเรียนรู้ใหม่ ๆ อยู่เสมอ หรือจะนำรูปภาพหรือกรอบรูปที่สะท้อนแนวคิดขององค์กรมาตกแต่งตามมุมต่าง ๆ ของออฟฟิศ เป็นการเพิ่มมุมที่แปลกตา กระตุ้นให้พนักงานเกิดความคิดสร้างสรรค์ ส่งผลให้พนักงานทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและสร้างสรรค์ผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมมากขึ้น 

Office Layout ที่ช่วยส่งเสริม Collaboration

การเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงานสามารถทำได้หลายวิธี หนึ่งวิธีที่สำคัญคือการออกแบบออฟฟิศยุคใหม่ที่ช่วยส่งเสริม Collaboration หรือการสร้างพื้นที่การทำงานร่วมกันหลากหลายสายงาน เป็นพื้นที่ที่ช่วยจุดประกายความคิดสร้างสรรค์ให้เหล่าพนักงานทำงานอย่างมีความสุขและเกิดไอเดียใหม่ ๆ อยู่ตลอดเวลา ซึ่งหัวใจหลักของแนวคิดนี้คือ การเลือกโต๊ะทำงานที่ตอบโจทย์การทำงานเป็นทีม พร้อมกับการสร้างสรรค์ผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมที่สุด ซึ่งอาจมีการใช้พื้นที่ส่วนกลางร่วมกันหรือที่เราเรียกว่า Hot Desk แทนการใช้โต๊ะแบบ Fixed Desk เพื่อให้พนักงานจัดการสถานที่ทำงานได้ตามต้องการ เป็นการเปลี่ยนบรรยากาศการทำงานแบบส่วนตัวเป็นแบบทีมอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังเป็นการกระชับมิตรให้พนักงานที่ไม่รู้จักกันได้ทำความรู้จักกันมากขึ้น สร้างวัฒนธรรมที่ดีในองค์กรตามมานั่นเอง

นอกจากนี้เรายังสามารถใช้ Collaboration Hub มาเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงานได้ ตัวอย่างเช่น Meeting Pods หรือการสร้างพื้นที่เล็ก ๆ ที่มีความเป็นส่วนตัวและเสริมสร้างสมาธิในการทำงาน แม้จะเป็นพื้นที่เล็ก ๆ แต่ก็สามารถทำให้พนักงานทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ โดยเฉพาะงานที่ต้องใช้สมาธิสูง เมื่อพนักงานใช้ความสามารถหรือความรู้ได้อย่างเต็มที่ผลงานจึงออกมาตรงตามเป้าหมายและประสบความสำเร็จ หรือสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงานด้วยการสร้างพื้นที่ Co-Working Zone ที่ตอบโจทย์การทำงานร่วมกันหลากหลายสายงาน เพิ่มประสิทธิภาพให้ชิ้นงานนั้น ๆ ประสบความสำเร็จมากขึ้น ด้วยแนวคิดที่เปิดกว้างเรื่องการจัดการสถานที่ทำงาน เมื่อพนักงานสามารถเลือกสถานที่ทำงานได้ตามต้องการ ย่อมเสริมสร้างพลังงานด้านบวกที่สามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพมากขึ้น 

เทคโนโลยีกับวัฒนธรรมองค์กร 

ปฏิเสธไม่ได้ว่าการใช้เทคโนโลยีที่จำเป็นในสำนักงานนั้นไม่เพียงช่วยอำนวยความสะดวกให้คนในองค์กร แต่ยังช่วยเพิ่มความสำเร็จและอัตราการเติบโตของบริษัทได้ด้วย ซึ่งการเลือกใช้เทคโนโลยีที่จำเป็นและเหมาะสมกับองค์กร ช่วยทำให้การทำงานของพนักงาน การประชุมร่วมกันเป็นทีม หรือการนำเสนองานมีความสะดวกมากขึ้น เทคโนโลยีที่ถูกนำมาใช้ในองค์กรระดับโลกนั้นเน้นความสะดวกสบายและตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การทำงานเป็นหลัก อีกทั้งเป็นตัวช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการทำงานมากขึ้น ตัวอย่างเช่น Digital Whiteboard หรือ Smart Meeting Rooms ทั้งสองเทคโนโลยีช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการนำเสนอผลงานหรือนำมาใช้ในการประชุมหรือกิจกรรม Meeting ได้อย่างยอดเยี่ยม เมื่อการ Meeting ราบรื่น ย่อมสร้างบรรยากาศที่ดีในการทำงานและเกิดการพัฒนาในองค์กร

นอกจากเทคโนโลยีที่ทันสมัยอย่าง Digital Whiteboard หรือ Smart Meeting Rooms แล้ว การสร้างระบบการทำงานที่ส่งเสริมความสัมพันธ์ในองค์กรก็มีความสำคัญเช่นเดียวกัน อย่างระบบ Internal Social Platform การใช้แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียร่วมกันทั้งองค์กร นอกจากทำให้การติดต่อสื่อสารของคนภายในองค์กรราบรื่นแล้ว ยังช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีของคนในองค์กรด้วย เพราะการใช้เทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์ทั้งเรื่องของงานและความสัมพันธ์ เป็นการพัฒนาองค์กรให้ก้าวหน้าและประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืน ไม่ว่าองค์กรของคุณจะเป็นองค์กรขนาดเล็กหรือองค์กรขนาดใหญ่ การเลือกใช้เทคโนโลยีที่จำเป็นอย่างเหมาะสมเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้องค์กรเกิดการพัฒนาและก้าวหน้าอย่างมั่นคง