จัดพื้นที่ Co-Working Space อย่างไรให้คนอยากคุยกัน

เผยเทคนิคจัดพื้นที่ Co Working Space ให้มีชีวิตชีวาด้วยหลักจิตวิทยาการออกแบบ เปลี่ยน modern office design ธรรมดาให้เป็นศูนย์รวม Connection ที่คนอยากพูดคุย

จัดพื้นที่ Co-Working Space อย่างไรให้คนอยากคุยกัน

จริงอยู่ แม้ว่าเทรนด์ Co-Working Space ตอบโจทย์คนทำงานยุคใหม่ แต่ทราบหรือไม่ว่า คนที่เลือกมาใช้ Co-Working Space ไม่ได้ต้องการแค่โต๊ะ ปลั๊กไฟ และกาแฟดี ๆ เพียงอย่างเดียว แต่สิ่งที่พวกเขามองหามากที่สุดคือ “Connection” การได้เจอคนใหม่ ได้แลกเปลี่ยนไอเดีย และได้เป็นส่วนหนึ่งของคอมมูนิตี้ที่มีชีวิตชีวา ทว่าหลายที่กลับกลายเป็นเพียงออฟฟิศเงียบ ๆ ที่ทุกคนสวมหูฟังทำงานคนเดียวทั้งวัน ปัญหานี้ไม่ได้เกิดจากตัวสมาชิก แต่เกิดจาก “การออกแบบ” ที่ยังไม่เข้าใจจิตวิทยามนุษย์ การจัดพื้นที่ Co-Working Space ที่ดีจึงต้องใช้หลัก Design Psychology เพื่อกระตุ้นให้เกิดปฏิสัมพันธ์อย่างเป็นธรรมชาติ บทความนี้จะพาไปเจาะลึก 4 เทคนิค modern office design ที่พิสูจน์แล้วว่าทำให้คนอยากทักทาย อยากนั่งใกล้ และอยากคุยกันจริง ๆ

สร้างสมดุลแห่งความสบายใจด้วยทฤษฎี Prospect & Refuge

มนุษย์เราถูกตั้งโปรแกรมจากยุคหินให้รู้สึกปลอดภัยที่สุดเมื่อ “มองเห็นวิวได้กว้าง แต่หลังชนกำแพง” ทฤษฎี Prospect & Refuge ของ Jay Appleton อธิบายว่าพื้นที่ที่ให้ทั้งความรู้สึกเปิดโล่ง (Prospect) และที่กำบัง (Refuge) จะทำให้คนกล้าอยู่ในพื้นที่นั้นนานขึ้น และกล้าเปิดใจกับคนรอบข้างมากขึ้น

ในการจัดพื้นที่ Co-Working Space จึงควรแบ่งเป็นสองโซนชัดเจน โซน Prospect คือพื้นที่ส่วนกลางที่เปิดโล่ง มีโต๊ะยาวหรือโซฟาวางหันหน้าเข้าหากัน หน้าต่างบานใหญ่ มองเห็นวิวภายนอกได้ไกล ๆ ทำให้รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของคอมมูนิตี้ ส่วนโซน Refuge คือมุมที่มีโซฟาพนักพิงสูง เก้าอี้หันหลังชนผนังทึบ หรือ Work Pod ที่มีฉากกั้นโปร่งเล็กน้อย เมื่อคนรู้สึก “หลังปลอดภัย” พวกเขาจะกล้าออกมานั่งในพื้นที่ส่วนกลางนานขึ้น โอกาสเดินชนกัน เกิดบทสนทนาสั้น ๆ และต่อยอดไปสู่ความสัมพันธ์ที่ลึกขึ้นได้ง่าย

ทลายกำแพงด้วยพลังของ “โต๊ะกลม”

โต๊ะสี่เหลี่ยมยาวทำให้คนนั่งปลายโต๊ะกลายเป็น “หัวโต๊ะ” โดยอัตโนมัติ สร้างลำดับชั้นโดยไม่รู้ตัว ขณะที่โต๊ะกลมไม่มีหัวไม่มีท้าย ทุกคนเท่าเทียมกัน งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยคอร์แนลพบว่าคนที่นั่งรอบโต๊ะกลมมีแนวโน้มเริ่มบทสนทนามากกว่าโต๊ะสี่เหลี่ยมถึง 40%

ใน office room design ของ Co-Working Space จึงควรเปลี่ยนโต๊ะยาวในโซนกินข้าวหรือ Social Hub เป็นโต๊ะกลมขนาด 80-120 ซม. หลายตัว วางกระจายกันอย่างเป็นธรรมชาติ เพียงเท่านี้คนแปลกหน้าจะกล้าเดินมานั่งร่วมโต๊ะมากขึ้น เพราะไม่มีใครรู้สึกว่าต้อง “ขออนุญาต และเมื่อนั่งใกล้กันแล้ว การทักทาย “ขอปลั๊กหน่อยได้ไหม” หรือ “กาแฟร้านนี้ใช้เมล็ดอะไรนะ?” ก็เกิดขึ้นได้ง่าย ๆ

จัดพื้นที่ Co-Working Space ด้วยพื้นที่ Biophilic Design

Biophilic Design พื้นที่คุยที่ทำให้ไม่รู้สึกเครียด

ความเครียดคือศัตรูหมายเลขหนึ่งของการเริ่มบทสนทนา เมื่อคนรู้สึกตึงเครียด สมองจะเข้าสู่โหมดป้องกันตัว ทำให้ไม่กล้าคุยกับคนแปลกหน้า แต่การนำธรรมชาติเข้ามาในพื้นที่จึงเป็นอาวุธลับที่ทรงพลัง งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยเมลเบิร์นพบว่าการมีต้นไม้จริงในออฟฟิศเพียงไม่กี่ต้น ช่วยลดความวิตกกังวลได้ถึง 37% และเพิ่มความรู้สึกเป็นมิตรต่อผู้อื่น

วิธีที่ใช้ได้ผลที่สุดคือการสร้าง “Green Social Hub” โดยวางต้นไม้ใหญ่ (เช่น ไทรใบสัก มอนสเตอร่า ยางอินเดีย) รอบโซนที่นั่งเล่นส่วนกลาง หรือทำสวนแนวตั้งสูงเต็มผนังด้านหนึ่ง เมื่อบรรยากาศโดยรวมผ่อนคลาย กลิ่นใบไม้ ความชื้นอากาศ และแสงธรรมชาติที่ส่องผ่านใบไม้ จะทำให้กำแพงทางสังคมค่อย ๆ ละลาย คนที่เดินผ่านจะยิ้มให้กันมากขึ้น และกล้าทักทายกันมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว

เปลี่ยนทางผ่านให้เป็นจุดนัดพบด้วยการออกแบบพื้นที่สัญจร

พื้นที่ที่คนเดินผ่านบ่อยที่สุดกลับถูกมองข้ามมาตลอด นั่นคือ “บันได” การเปลี่ยนบันไดธรรมดาให้เป็น Stair Seating หรืออัฒจันทร์ที่มีเบาะนั่ง ปลั๊กไฟ Wi-Fi และโต๊ะเล็ก ๆ จะเปลี่ยนจาก Transit Space กลายเป็น Destination Space ทันที

ตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จทั่วโลก เช่น WeWork หลายสาขา หรือ The Hive ในเอเชีย พบว่าบันไดอัฒจันทร์กลายเป็นจุดที่สมาชิกมานั่งทำงาน นั่งกินข้าว หรือแม้แต่จัดมีตติ้งเล็ก ๆ มากที่สุด เพราะเป็นจุดที่คนเดินขึ้นลงทุกวัน การได้เจอหน้ากันซ้ำ ๆ โดยไม่ตั้งใจ ทำให้เกิดความคุ้นเคย และนำไปสู่การทักทาย การแลกนามบัตร หรือแม้แต่ร่วมกันก่อตั้งสตาร์ตอัปใหม่

Stair Seating

คำถามที่พบบ่อย

การใช้บันไดเป็นที่นั่ง (Stair Seating) จะปลอดภัยและผิดกฎหมายอาคารหรือไม่? 

การออกแบบบันไดอัฒจันทร์ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นหลัก โดยต้องแยกส่วน "ทางเดิน" และ "ที่นั่ง" ออกจากกันอย่างชัดเจน และต้องมีความกว้างของบันไดหนีไฟตามมาตรฐานกฎหมายอาคารกำหนด ส่วนที่เป็นที่นั่งมักจะเป็นส่วนขยายเพิ่มเติมจากโครงสร้างบันไดหลัก หรือเป็นบันไดตกแต่งที่เชื่อมต่อระหว่างชั้นลอย ซึ่งต้องได้รับการคำนวณโครงสร้างจากวิศวกรผู้เชี่ยวชาญ

Biophilic Design จำเป็นต้องใช้ต้นไม้จริงเสมอไปหรือไม่ เพราะดูแลรักษายาก? 

แม้ต้นไม้จริงจะให้ผลลัพธ์ดีที่สุดในแง่ของการฟอกอากาศและความสดชื่น แต่ในแง่จิตวิทยา การใช้วัสดุธรรมชาติอื่นๆ ก็ช่วยได้ เช่น การใช้เฟอร์นิเจอร์ไม้จริง การใช้หิน การเปิดรับแสงธรรมชาติให้มากที่สุด หรือแม้แต่การใช้ภาพศิลปะที่มีลวดลายธรรมชาติ ก็สามารถช่วยลดความเครียดและสร้างบรรยากาศผ่อนคลายได้ในระดับหนึ่งเช่นกัน


สรุป

การจัดพื้นที่ Co-Working Space ที่ดีที่สุดไม่ใช่การแข่งกันว่ามีโต๊ะสวยที่สุดหรือกาแฟดีที่สุด แต่คือการออกแบบที่เข้าใจ “พฤติกรรมมนุษย์” และจัดฉากให้เกิดปฏิสัมพันธ์เชิงบวกโดยไม่ต้องบังคับ เมื่อใช้ Prospect & Refuge Theory ให้คนรู้สึกปลอดภัย ใช้โต๊ะกลมให้ทุกคนเท่าเทียม ใช้ธรรมชาติลดความเกร็ง และเปลี่ยนบันไดให้เป็นจุดนัดพบ พื้นที่นั้นจะกลายเป็นมากกว่า Co-Working Space แต่จะกลายเป็น “คอมมูนิตี้ที่มีชีวิต” ที่สมาชิกอยากกลับมา อยากชวนเพื่อนมา และอยากอยู่ด้วยกันนาน ๆ ซึ่งนี่คือหัวใจที่ทำให้ Co-Working Space แตกต่างและอยู่รอดได้จริงในระยะยาว

พร้อมสร้างสรรค์พื้นที่ทำงานที่ "ใส่ใจคน" และช่วยลดความเครียดแล้วหรือยัง? ให้ Modernform Hybrid Space ช่วยออกแบบพื้นที่สำหรับการ พัก คุย คิด ที่ลงตัว เปลี่ยนภาพลักษณ์องค์กรและสร้างพื้นที่ที่ทำให้พนักงาน ‘รู้สึกดี’ ตั้งแต่ก้าวแรก ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบ Smart Workplace จาก Modernform เพื่อค้นหาโซลูชันที่ใช่สำหรับคุณได้แล้ววันนี้

Explore Products

MDF_NOV25_editorial1_cover

Next Inspired

พลิกโฉมออฟฟิศสู่ Modern Office ด้วยเฟอร์นิเจอร์ที่รองรับ ABW

เปลี่ยนออฟฟิศแบบเก่า ๆ ที่มีแต่โต๊ะประจำ ให้กลายเป็น Modern Office ที่ยืดหยุ่นด้วยคอนเซปต์ Activity-Based Working (ABW) ที่ทำให้พนักงานอยากมาออฟฟิศทุกวัน

Discover
แชร์